วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วิจารณ์วรรณกรรมเรื่องความสุขของกะทิ

วิจารณ์วรรณกรรมเรื่องความสุขของกะทิ
                จุดมุ่งหมายในการวิจารณ์วรรณกรรมในเรื่อง ความสุขของกะทินี้ เพื่อที่จะวิจารณ์ในเนื้อหาเรื่องราวของวรรณกรรมซีไรต์ในด้าน การถ่ายทอดเรื่องราว ความเป็นอยู่ที่เข้มแข็งของกะทิผู้ซึ่งเป็นตัวละครเอก และยังสามารถรับรู้ถึงบุคลิกภาพของตัวละครในเรื่องความสุขของกะทิอีกด้วยและยังสามารถช่วยให้ผู้ที่อ่านและศึกษาในวรรณกรรมเรื่องนี้ได้รู้ถึงความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์ควรเป็นอย่างไร ความสุขปนความทุกข์เมื่อเกิดขึ้นแล้วแก้ไขได้อย่างไร จึงทำให้เป็นจุดมุ่งหมายในการวิจารณ์วรรณกรรมในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
                “ความสุขของกะทิเป็นนวนิยายของ งามพรรณ เวชชาชีวะ ที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน หรือรางวัลซีไรต์ของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2549 ซึ่งเป็นนวนิยายขนาดสั้น ที่สามารถสื่อแนวคิดให้ผู้อ่านได้รับรู้ว่าชีวิตคนเรามีทั้งความสุขและความทุกข์ปะปนกันไป ได้เข้าใจโดยผ่านชีวิตของ เด็กหญิงวัย 9 ขวบ ที่ต้องผ่านการสูญเสียครั้งสำคัญ แต่เธอก็ยังมีคนใกล้ชิดคอยให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผู้เขียนต้องการสื่อให้รู้ว่าชีวิตคนเรามีทั้งความสุขและความทุกข์และวรรณกรรมเรื่องนี้ยังได้ถูกสร้างเป็นภาพยนต์ในปี พ.ศ. 2552 ในชื่อเดียวกันว่า ความสุขของกะทิ หนังสือภาคต่อของ ความสุขของกะทิ ชื่อว่า ความสุขของกะทิ ตอน ตามหาพระจันทร์ และ ความสุขของกะทิ ตอน ในโลกใบเล็ก วรรณกรรมเรื่องนี้เป็นววรณกรรมที่ทำให้ผู้อ่านบอกได้คำเดียวเลยว่า กินใจจับใจกรรมการอย่างมากเลยทีเดียว ฉะนั้นจึงจะขอวิจารณ์ในภาพรวมของวรรณกรรมในเรื่องนี้
                ความสุขของกะทิ เล่าเรื่องราวของน้องกะทิ เด็กหญิงวัย 9 ขวบที่กำลังจะต้องสูญเสียแม่ ซึ่งป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง แม่รู้ตัวดีว่าไม่สามารถเลี้ยงดูกะทิได้ จึงฝากกะทิให้ตากับยายเลี้ยง กะทิเติบโตมาด้วยความรักของตาและยาย มีชีวิตอย่างสุขสบายในบ้านหลังน้อยริมคลองอันอบอุ่น แม่ของกะทิเป็นโรคร้ายที่แน่นอนว่าจะต้องตาย แม่ของกะทิมีระบบคิดและวิธีการของตัวเองที่จะเตรียมตัวตายแบบที่อ่านแล้วต้องน้ำตาคลอ ผู้หญิงคนไหนมีลูกและคิดว่าตัวเองรักลูกอย่างที่สุด ต้องอ่านนิยายเรื่องนี้ อ่านวิธีเตรียมตัวตายของแม่กะทิ ชั่งจับจิตกินใจเสียเหลือเกิน และเรื่องของพ่อกะทิ ซึ่งไม่ปรากฏตัวและแทบจะไม่มีการเอ่ยถึงในเรื่อง แต่เป็นตัวละครสำคัญในเรื่อง ที่ว่าเป็นตัวละครสำคัญเพราะมีส่วนอย่างยิ่งที่ทำให้เด็กหญิงกะทิบรรลุธรรม
ผู้เขียน เล่าเรื่องราวของกะทิอย่างเรียบง่าย เนรมิตบ้านริมคลองให้เป็นบ้านในฝัน ที่อบอวลด้วยบรรยากาศอันรื่นรมย์ของอดีต ฉายรายละเอียดสิ่งละอันพันละน้อย ของวิถีชีวิตที่สุขสงบของครอบครัวชนชั้นกลางระดับสูงให้ผู้อ่านประทับใจ
กะทิมีครอบครัวที่เอาใจใส่ดูแลกะทิด้วยความรักและความห่วงใยจากใจจริง เธอมีคุณตาที่เคยเป็นทนาย ซึ่งสามารถเรียกเสียงหัวเราะจากกะทิและครอบครัวได้อยู่เสมอๆ คุณยายของกะทิยายเป็นคนมีความรู้ดี เคยทำงานดี แต่เมื่อมาอยู่ต่างจังหวัดก็พยายามทำตัวเป็นชาวบ้าน ใช้ชีวิตอย่างคนชนบท ตาซึ่งเคยเป็นนักกฎหมายผู้สามารถเกษียณแล้วก็มาอยู่อย่างชาวบ้าน ดิฉันชอบสัมพันธภาพระหว่างตากับยายในเรื่องนี้มาก ตาเป็นคนจิตใจดีมีอารมณ์ขันในขณะที่ยายนั้นขี้บ่น เคร่งครัด และหัวโบราณ แต่ถึงกระนั้นก็สอนกะทิเรื่องต่างๆนานา อะทิเช่น การทำอาหาร การอยู่ในสังคม เป็นต้น
วิธีการเขียนและการนำเสนอเรื่องนี้แปลกไปจากนิยายที่เขียนๆ กันมา คือจะมีชื่อตอนแต่ละตอน ซึ่งเป็นตอนสั้นๆ จากชื่อตอนก็จะมีคำถามหรือคำพูดหรือความรู้สึกของเด็กหญิงกะทิ เป็นต้นว่าตอนที่ 9 ชื่อตอนว่า กระถางธูปใต้ชื่อตอนอยู่ในเครื่องหมายคำพูด เหลือเพียงเสียงของแม่ที่กะทิจำได้ดีเป็นวิธีการดำเนินเรื่องอีกลักษณะหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก
เป็นการนำเสนอที่แสดงออกให้เห็นถึงความผูกพันและความรักของครอบครัวและในขณะเดียวกันยังสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมไทยทั้งเก่าและใหม่ ผ่านทางเรื่องเล่าที่ราบรื่น กลมกลืน จนสามารถทำให้กระทิมีความสุขจนลืมเรื่องราวเศร้าๆที่มีอยู่ในขณะนั้นไปเลยก็ว่าได้ซึ่งเป็นการนำเสนอหาดูและอ่านได้ยากมาก
                ส่วนพี่ทองเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจกะทิเป็นอย่างดี และเป็นคนที่มีบุญคุณต่อกะทิ เพราะว่าพี่ทองเคยช่วยชีวิตกะทิไว้ตอนกะทิเป็นเด็กเล็ก ส่วนน้าฏา และน้ากันต์ซึ่งเป็นคนที่ห่วงใยกะทิ และคอยหาสิ่งดีๆให้กะทิอยู่เสมอๆ และเป็นคนที่พูดปลอบใจกะทิในยามที่กะทิเศร้าโศกเสียใจ และที่ขาดไม่ได้ก็คือ แม่ของกะทิ ที่ถึงแม้จะจากไปก่อนวัยอันควรแต่ก็จัดสิ่งต่างๆไว้ให้กะทิอย่างดิบดี ด้วยความรัก และเอาใจใส่จากใจ
แต่ในความสุขมีความเศร้า ในวิถีชีวิตที่สุขสงบนี้ กะทิต้องเผชิญประสบการณ์ทางอารมณ์ที่ต้องสูญเสียแม่
 กะทิอยู่กับตายายตั้งแต่เด็กจนทุกวันนี้กะทิจำเรื่องราวของแม่เธอไม่ได้แล้ว ตากับยายไม่เคยพูดถึงแม่ของกะทิเลย แต่ก็รู้ว่าในใจของกะทิอยากเจอแต่แม่
                แล้วในวันหนึ่งความฝันของกะทิก็เป็นจริง ตากับยายบอกกะทิว่าแม่ไม่สบาย ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่บ้านชายทะเล เลขานุการของแม่กะทิมารับตายายและกะทิไปพบแม่ที่บ้านชายทะเล
หลังจากกะทิเจอแม่ได้ไม่นาน แม่ของกะทิก็จากไปอย่างสงบ และเพื่อนๆของแม่กะทิก็พากะทิไปบ้านพักที่กรุงเทพ บ้านที่แม่กับกะทิเคยอยู่ด้วยกัน ที่คอนโดทิ้งเอกสารที่เกี่ยวกับแม่ของกะทิ ซึ่งแม่ของเธอเป็นคนรวบรวมเรื่องราวชีวิตนี้เอง จึงทำให้กะทิรู้ว่า แม่เจอกับพ่อตอนที่ไปเรียนและทางานที่อังกฤษ และพ่อกับแม่ก็แต่งงานกัน และแม่ก็ย้ายไปทางานที่ฮ่องกงจึงต้องแยกกันอยู่ และแม่ของกะทิรู้ว่าพ่อคุยกับคนรักเก่า แม่จึงตัดสินใจกลับมาอยู่กรุงเทพ และก็ได้รู้ว่าตนเองตั้งท้อง
แม่มีจดหมายให้กะทิตัดสินใจเองว่าจะส่งไปให้พ่อหรือไม่ แต่สุดท้ายกะทิก็เลือกที่จะอยู่กับตายายเหมือนเดิม
งามพรรณ เวชชาชีวะ ต้องการเล่าเรื่องราวของเด็กหญิงวัย 9 ขวบ ที่ชีวิตของเธอได้ผ่านทั้งความสุขและความทุกข์ ความผูกพัน และการพลัดพราก แต่เธอก็สามารถผ่านอุปสรรค์นั้นได้ ด้วยกาลังใจของคนรอบข้าง ซึ่งผู้เขียนต้องการสื่อให้เห็นว่าตัวละครเอก คือกะทิต้องการทิ้งอดีตไว้ให้เป็นเพียงเงา ดังประโยคที่ว่ากะทิกราบพระก่อนนอน พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้าไปโรงเรียน ทุกอย่างเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แล้วเสียงตะหลิวของยายก็ปลุกกะทิขึ้นมาพบโลกใบนี้อีกครั้ง
จากข้อความดังกล่าวทำให้เห็นว่ากะทิต้องการลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงปิดเทอม ทั้งเรื่องแม่ที่ต้องจากเธอไป และเรื่องจดหมายที่แม่ของกะทิให้ตัดสินใจว่าจะส่งไปให้พ่อของเธอหรือไม่ แต่สุดท้ายจากข้อความข้างต้นก็ทำให้รู้ว่ากะทิเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบเดิมที่เธอเคยอยู่กับตายาย
นวนิยายเรื่องความสุขของกะทินี้ยังนาเสนอข้อคิดหลายข้อคิดที่ทาให้คนเรารู้ว่าการที่เรามีความสุขนั้น ความสุขของคนรอบข้างก็คือความสุขของเรา ดังประโยคที่ว่าแม่ของกะทิเคยให้ความช่วยเหลือหลายครั้ง โดยเฉพาะค่าเล่าเรียน แม่ดูจะทำให้คนรอบข้างมีความสุขได้อย่างน่าชื่นชม”  
จากข้อความดังกล่าวเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แม่ของกะทิช่วยเหลือคนอื่นอย่างเต็มใจ โดยที่ผลบุญนั้นตกมาถึงกะทิ ที่มีคนคอยช่วยเหลือตลอดเวลา ซึ่งสามารถมองย้อนกลับมาในสังคมปัจจุบันการที่เรามีน้ำใจกับผู้อื่น คอยช่วยเหลือผู้อื่น ยามที่เราเดือดร้อน เราก็จะมีคนคอยช่วยเหลือเราตลอดเวลา เราช่วยเหลือผู้อื่นเราก็มีความสุข ผู้รับก็มีความสุขเช่นกัน สุขทั้งผู้ให้และผู้รับ
ผู้เขียนยังให้แนวคิดไว้อีกว่า ชีวิตคนเรามีทั้งสุขและทุกข์ ซึ่งเป็นนวนิยายที่เหมาะสาหรับคนทุกวัย ที่สามารถสอนให้เรามีความคิด มีสติ เผชิญกับปัญหาที่กาลังจะเกิดขึ้นและต่อสู้กับมันจนผ่านพ้นไปได้ด้วยดี และชีวิตจะมีความสุขดังเดิม
จะเห็นได้ว่า นวนิยาย เรื่องความสุขของกะทิเป็นนวนิยายที่แฝงไปด้วยความรักความอบอุ่น ของคนรอบข้าง ที่มีให้กันด้วยความจริงใจ ซึ่งทำให้เด็กคนหนึ่งผ่านพ้นเรื่องร้ายๆไปได้ด้วยดี ถ้าคนในสังคมไทยมองเห็น ความรัก ความจริงใจของคนรอบข้างชีวิตก็จะมีแต่ความสุข และเป็นนวนิยายที่สอนคนให้รู้จักความเข็มแข็ง อดทนต่อสู้กับปัญหาที่จะเกิดขึ้น
และในความเศร้านั้นก็มีความสุข กะทิไม่คิดจะโหยหาถึงพ่อที่อยู่ไกลโพ้นต่างแดน หากเลือกอยู่ในอ้อมกอดของตากับยาย และผ่านชีวิตอันควรจะทุกข์นั้นด้วยใจที่เข้มแข็ง
                เสน่ห์ของนวนิยายขนาดสั้นเรื่องนี้อยู่ที่กลวิธีการเล่าเรื่อง ที่ค่อยๆ เผยปมปัญหาทีละน้อย ๆ อารมณ์สะเทือนใจจะค่อยๆ พัฒนาและดิ่งลึกในห้วงนึกคิดของผู้อ่าน นำพาให้ผู้อ่านอิ่มเอมกับรสแห่งความโศกเศร้าอันเกษม ที่ได้สัมผัสประสบการณ์ทางอารมณ์ของชีวิตเล็กๆ ในโลกเล็กๆ ของเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งอาจไม่ไกลจากชีวิตจริงของเราเลย
                ความคิดรวบยอดที่กะทิมีต่อตนเอง พบว่ากะทิได้รับการพัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับตัวเอง โดยการได้รับการยอมรับในเชิงบวกและอย่างมีเงื่อนไข เป็นการให้ความรักและใส่ใจที่ทุกคนมีให้กะทิอย่างลึกซึ้ง จึงสะท้อนบุคลิกถาพที่สอดคล้องกันระหว่าง ตัวตน และประสบการณ์จึงทำให้กะทิมีสุขภาพจิตที่ดีและเป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพดี จะพบว่ากะทิเป็นผู้ที่มีบุคลิกดีหลายอย่าง เช่น
-                   กะทิเปิดรับประสบการณ์ทุกอย่าง หมายถึง กะทิยอมรับรู้อารมณ์ทุกประเภทที่เกิดขึ้น โดยไม่มีการปฎิเสธ ใช้กลวิธานป้องกันตนในระดับพอสมควร เป็นเวลาไม่นานนักกะทิรับรู้ความเศร้าของตนเอง และยอมรับในการสูญเสียที่เกิดขึ้นและไม่อยู่กับความรู้สึกเศร้านานนัก กะทิจะรู้ตัวและอยู่กับปัจจุบันเสมอ แม้ว่าสภาพจิตใจของกะทิจะรู้สึกต่อต้านและต้องการปฎิเสธความจริงว่าแม่กำลังจะจากไป ขณะเดียวกันกะทิรู้ว่าต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นกะทิต้องหลบเลี่ยงจากความจริง แต่เมื่อเวลาผ่านไปกะทิจะสามารถปรับความรู้สึกให้กลับมาเป็นปัจจุบันได้
-                   กะทิมีชีวิตชีวาเปิดรับประสบการณ์ต่างๆเข้ามาในชีวิตตามที่เกิดขึ้น แม้ว่าพึ่งเสร็จสิ้นงานศพของแม่ กะทิให้ความสนใจที่จะไปเข้าค่ายดูดาว
-                   กะทิเชื่อในสัญชาตญาณและความคิดของตนเอง กะทิมีพฤติกรรมที่แสดงออกไปตรงกับความต้องการของจิตใจโดยไม่ลังเลหรือรอคำสั่ง
-                   กะทิมีความคิดสร้างสรรค์ มีอิสระจากความกดดัน และมั่นใจในการแสดงศักยภาพสูงสุดของตนเอง กะทิมีความคิดสร้างสรรค์ และชอบความงามของธรรมชาติ มีจิตนาการ และมีสุนทรียภาพสามารถแสดงออกได้อย่างอิสระ
-                   กะทิมีความเป็นอิสระในการทำให้ตนเองมีความสุข กล้าเผชิญกับความล้มเหลว รับผิดชอบต่อการตัดสินใจในการกระทำของตนเองด้วย กะทิตัดสินใจจะใช้ชีวิตที่บ้านริมคลองกับตาและยายต่อไปโดยการไม่ส่งจดหมายไปหาพ่อ และใช้วิธีการที่ถนอมความรู้สึกกับคนรอบข้าง โดยการเลือกส่งจดหมายไปหาพี่ทอง ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ต่างประเทศ แทนการส่งจดหมายไปหาพ่อตามที่อยู่ที่แม่ให้ไว้
สิ่งที่กล่าวมาเหล่านี้เป็นกระบวนการความคิดและบุคลิกของกะทิผู้ซึ่งเป็นตัวละครเอกของเรื่อง
                วรรณกรรมเรื่อง ความสุขของกะทิ จึงเป็นของแปลกใหม่ในการนำเสนอออกมาเป็นหนังไทย ในเรื่องความสุขของกะทินี้ มีการนำมาทำเป็นภาพยนตร์ได้อย่างดีมากในการนำสนอ ทั้งการถ่ายภาพ จัดแสง การตัดต่อ การออกแบบ อยู่ในขั้นดีถึงดีมากทั้งหมดเลยทีเดียว
ตัวละคร
กะทิ 
กะทิ หรือมีชื่อจริงว่า ณกมล พจนวิทย์ เกิดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536 หลังเวลาเที่ยงคืน เป็นบุตรีของมารดาชาวไทย ชื่อ ณภัทร พจนวิทย์ กับ บิดาชาวพม่า(มัณฑะเลย์)ที่ตั้งรกรากอยู่ในประเทศอังกฤษ เมื่ออายุ 9 ขวบ ได้รับการเลี้ยงดูโดยตาและยาย ซึ่งอาศัยอยู่ในจังหวัดอยุธยา ในชีวิตแรกเกิด กะทิ ได้รับการเลี้ยงดูจากมารดา และได้รับการช่วยเหลือเกื้อกูลโดยเหล่าญาติและเพื่อนของแม่กะทิ
แม่ 
แม่ของกะทิ มีชื่อจริงว่า ณภัทร พจนวิทย์ มีอายุประมาณ 30-40 ปี ทำงานเกี่ยวกับโฆษณา ก่อนที่แม่ของกะทิจะกลับมาที่ประเทศไทยอีกครั้ง ได้ทำงานที่ฮ่องกง เป็นที่สุดท้าย พร้อมกับตั้งครรภ์กะทิกลับมายังประเทศไทยด้วย เมื่อกะทิอายุได้ 3-4 ปี แม่ของกะทิเริ่มเกิดภาวะโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง จึงเป็นจุดตัดสินใจหนึ่งที่แม่ของกะทิให้ตากับยายเป็นผู้เลี้ยงดูตา 
พิทักษ์
อดีตทนายนักเรียนนอก วัย ๖๗ ปี ที่หันหลังให้กับชีวิตเมืองกรุง และย้ายกลับมาใช้ชีวิตเรียบง่ายในอยุธยา กับภรรยา และ กะทิหลานสาว ที่ ณภัทรลูกสาวคนเดียวฝากไว้ในความดูแล ชีวิตบั้นปลายของพิทักษ์จึงมีสีเข้มขึ้นกว่าที่เจ้าตัวคิดไว้และทุกนาทีมีค่าเมื่อต้องประคับประคองชีวิตหนึ่งที่เพิ่งเริ่มต้นให้ออกก้าวเดิน
ยาย 
ลัดดา อดีตเลขานายใหญ่โรงแรมห้าดาว วัย ๖๔ ปี ยายของ กะทิที่พอใจกับชีวิตเรียบง่าย รอยยิ้มของลัดดาหายไปเมื่อรับรู้ว่าลูกสาวคนเดียวมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน และภาระความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูหลานชวนให้ต้องใช้สติในการตัดสินใจ
พี่ทอง 
ทอง หรือ สุวรรณ วินัยดี(หน้า ๘๐ ย่อหน้าที่ ๒)เด็กวัด วัย ๑๔ ปี ทองกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวกะทิโดยไม่รู้ตัว เมื่อเขาได้ช่วยชีวิตกะทิไว้ในวันฝนตก ทองมีนิสัยชอบช่วยผู้อื่นโดยธรรมชาติและโดยการอบรมของหลวงลุง เขารับกะทิเป็นน้องเล็กตั้งแต่วันแรกที่ได้เห็นเมื่อมารับบิณฑบาตกับหลวงตา และความรู้สึกนี้ไม่เคยแปรเปลี่ยนตามกาลเวลาเลย
ลุงตอง 
ทิฆัมพร วงศ์ภิรมย์ ลุงตอง ลุงของกะทิ วัย ๓๙ ปี เป็นลูกพี่ลูกน้องของ ณภัทรแม่ของกะทิ โดยนิสัยเป็นคนใจดี รักพี่น้องและพวกพ้องมาก ผูกพันกับณภัทรมาตั้งแต่เล็ก เป็นคนมีอารมณ์ขันหยิกแกมหยอก แต่ลุงตองมีสายตาแหลมคมและมองโลกในมุมปรัชญาเสมอ
น้าฎา 
หญิงสาววัย ๒๗ ปี เป็นเลขาฯ ให้ณภัทรและกลายเป็นมือขวาในทุกเรื่องให้เธอจนถึงวาระสุดท้าย หัวใจเธอสลายเมื่อรู้ว่าณภัทรป่วยหนัก แต่ก็เป็นเวลาที่ทำให้เธอได้รู้จักความเข้มแข็ง ความเสียสละ และรักแท้ที่แม่มีให้ลูก เธอไม่อาจห้ามใจผูกพันกับเพื่อนรุ่นน้องของณภัทรได้ และรู้ว่ามีโอกาสน้อยเหลือเกินที่เขาจะมองมา แต่นั่นก็เป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเธอที่ได้ใกล้ชิดเขาในช่วงเวลาหนึ่ง
น้ากันต์ 
หนุ่มโสด พูดน้อย เก็บตัว รุ่นน้องที่สนิทสนมกับณภัทรตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย กันต์ชื่นชมในความเก่งและยกให้ณภัทรเป็นผู้หญิงในดวงใจ เขาพร้อมเสียสละความสุขส่วนตัวหากจะทำให้เพื่อนรุ่นพี่จากไปโดยสงบ และพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการดูแลกะทิ กันต์ไม่เคยมองหาหญิงคนไหน แม้จะมีสาวสวยน่ารักอยู่ใกล้ตัว จนเมื่อภาพความจริงคมชัดว่าชีวิตไม่ควรโดดเดี่ยวนัก เขาจึงถอนสายตาจากหญิงในดวงใจมายังหญิงใกล้ตัว
ข้อความสำคัญในเรื่อง ความสุขของกะทิ
กะทิ
-     “อดีตเหมือนเงาบางครั้งทอดนำอนาคต
-     “น้ำตาไม่อาจแทนความโศกเศร้าได้
-     “หนูคืออนาคตของแม่ตั้งแต่วันที่ชีวิตแม่นับถอยหลัง
-     “ความรักมีหลายรูปแบบและสีสัน
-     “ความสุขของคนรอบข้างคือความสุขของเราด้วย
-     “ทิ้งอดีตไว้ให้เป็นเพียงเงา
-      แต่สุดท้ายแล้วมันก็ผ่านไป เกิดขึ้นมาก็มีวันจบไป โลกยังคงหมุนเวียนและเปลี่ยนไป สุดแต่ใครที่จะเข้าใจในเรื่องนี้
ข้อคิดของเรื่อง ความสุขของกะทิ
-     “ชีวิตคนเราไม่แน่นอน จะทำอะไรก็ควรรีบทำ
-     “การที่เราจะมีความสุขนั้นขึ้นอยู่กับตัวเราไม่ใช่สิ่งรอบกาย
-     “ชีวิตของคนเรามีทั้งสุขและทุกข์
-     “ชีวิตนั้นจะชอกช้ำหรือสวยงามแค่ไหน สุดท้ายแล้วมันก็ผ่านไป เกิดขึ้นมาก็มีวันจบไป...เมื่อเรามีทุกข์ย่อมมีสุขตามมา
รางวัลที่ได้รับ
บทแปลภาษาอังกฤษชื่อ The Happiness of Kati แปลโดยพรูเดนซ์ บอร์ทวิก (Prudence Borthwick) ได้รับรางวัลที่ 2 จากการประกวดงานแปล ประจำปี พ.ศ. 2548 John Dryden Translation Competition จัดโดยสมาคมวรรณคดีเปรียบเทียบแห่งอังกฤษ (British Comparative Literature Association)
เอกสารอ้างอิง
งามพรรณ เวชชาชีวะ. (2549). ความสุขของกะทิ. (พิมพ์ครั้งที่ 9). กรุงเทพฯ.
แพรวสานักพิมพ์.
th.wikipedia.org/wiki/ความสุขของกะทิ
movie.sanook.com › ข่าวหนัง






กลอนสำนวนไทย

กลอนสำนวนไทย      
                                กินแหนงแคลงใจ                                                               ผลักไสไล่ส่ง
                                หงส์เข้าฝูงหงส์                                                                    บงอับบงรา
                                กำแพงมีหู                                                                             ประตูมีตา
                                เงียบราวป่าช้า                                                                      หน้ามืดตามัว
                                ชั่วดีถี่ห่าง                                                                              ก่อร่างสร้างตัว
                                ทำชั่วได้ชั่ว                                                                           ตัวใครตัวมัน
                                ลำบากยากเย็น                                                                      เป็นล่ำเป็นสัน
                                ยกยอปอปั้น                                                                          ขยันขันแข็ง
                                กินอยู่กับปาก                                                                        อดอยากปากแห้ง
                                ข้าวยากหมากแพง                                                               ข้าวแดงแกงร้อย
                                ขี้หดตดหาย                                                                          จับจ่ายใช้สอย
                                คิดเล็กคิดน้อย                                                                      ต่ำต้อยน้อยหน้า
                                คาหนังคาเขา                                                                        กินเหล้าเมายา
                                ง้อยเปลี้ยเสียขา                                                                    หน้าสิวหน้าขวาน
                                สามารถอาจหาญ                                                                 เอาการเอางาน
                                กำเริบเสิบสาน                                                                     ถิ่นฐานบ้านช่อง
                                ติดหัวขั้วแห้ง                                                                        รุ่งแจ้งแสงทอง
                                กินปูนร้อนท้อง                                                                   หมามองเครื่องบิน
                                สมบุกสมบัน                                                                        กำปั้นทุบดิน

                                ตกล่องปล่องชิ้น                                                                  ดูหมิ่นถิ่นแคลน

คมความคิด

คมความคิด
1.             ได้เจียระไนเพชรขึ้นมาเม็ดแล้วเม็ดเล่า ล้วนแต่มีคุณค่าราคายิ่งแทนแก้วดวงเดิม...
= คมความคิดนี้ได้ให้ข้อคิดในเรื่อง คุณค่าของคนที่ยิ่งพัฒนาตนเองให้ดีมีคุณค่า ก็ยิ่งมีค่าในตัวเองอย่างสูงสุด
อ้างอิง==ชื่อหนังสือ ธรรมะDD หน้าที่ 3 ชุดหลวงพ่อจรัญพาเจริญ

2.             แม้ไม่ใช่ครูที่จบปริญญา แต่ท่านบูรณาการวิชาที่ท่านสอนเข้าด้วยกัน โดยไม่ได้เรียนรู้หลักสูตรแผนใหม่เลย
= คมความคิดนี้ได้ให้ข้อคิดในเรื่อง ครูที่ดีมีความชำนาญและพัฒนาตัวเองในตัวอยู่แล้ว มักมีการวางแผนการสอนที่ดี
อ้างอิง==ชื่อหนังสือ ธรรมะDD หน้าที่ 4 ชุดหลวงพ่อจรัญพาเจริญ

3.             เวลาที่มีคุณค่าหมดไปเลย เราก็ต้องหมดไป...หมดไป...ถ้าเราไม่สร้างความดีมายันเอาไว้ เราจะต้องเสียใจ เมื่อเราจะต้องตาย จะไม่มีอะไรติดตัวไปเลย
= คมความคิดนี้ได้ให้ข้อคิดในเรื่อง คนเราเมื่อเกิดมาก็ควรหมั่นทำดีเอาไว้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป
อ้างอิง==ชื่อหนังสือ ธรรมะDD หน้าที่ 6 ชุดหลวงพ่อจรัญพาเจริญ

4.             ถ้าเปลี่ยนไม่ได้ก็ปลงให้ตก
= คมความคิดนี้ได้ให้ข้อคิดในเรื่อง คนเราถ้าเปลี่ยนสิ่งที่ตนเองเป็นไม่ได้ ก็ควรปลงไปจากใจให้หมดสิ้นหมดทุกข์
อ้างอิง==ชื่อหนังสือ ธรรมะDD ชุดหลวงพ่อจรัญพาเจริญ หน้า 11
5.             เสี่ยงเพิ่มขึ้นอีกสักนิด ให้มากกว่าคนอื่นที่ว่า” “อยู่อย่างนี้ก็สบายดีแล้ว
= คมความคิดนี้ได้ให้ข้อคิดในเรื่อง เราควรเสี่ยงทำทุกอย่างเพื่อให้มีความสุขและสบายกว่าที่เป็นอยู่
อ้างอิง= ชื่อหนังสือ สู่เส้นชัย Will to win หน้าที่ 5 โดย วีรวุธ มาฆะศิรานนท์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : มีนาคม 2542 1,000 เล่ม
6.             คำว่า คุณภาพไม่มีขอบเขตที่จำกัด
= คมความคิดนี้ได้ให้ข้อคิดในเรื่อง เมื่อเราคิดจะทำหรือสร้างสิ่งใดขึ้นมาควรทำให้มีคุณภาพที่ดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพราะคุณภาพที่ดีไม่มีคำว่าสิ้นสุด
อ้างอิง= ชื่อหนังสือ สู่เส้นชัย Will to win หน้าที่ 6 โดย วีรวุธ มาฆะศิรานนท์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : มีนาคม 2542 1,000 เล่ม

7.             พูดให้น้อย...ทำให้มาก จงคิดทุกคำที่พูด แต่อย่าพูดทุกคำที่คิด เพราะว่า มันจะง่ายอยู่ที่คิด แต่จะติดอยู่ที่ทำ...จึงเท่ากับว่าจะทำไม่ได้อย่างที่พูด
= คมความคิดนี้ได้ให้ข้อคิดในเรื่อง ควรคิดก่อนทำ ไม่ใช่ทำก่อนคิด ควรคิดก่อนพูด ไม่ใช่พูดก่อนคิด
อ้างอิง= ชื่อหนังสือ สู่เส้นชัย Will to win หน้าที่ 10 โดย วีรวุธ มาฆะศิรานนท์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : มีนาคม 2542 1,000 เล่ม

8.       รักเหมือนฤดูหนาว เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว จางหายไปโดยไม่รู้ตัว
= คมความคิดนี้ได้ให้ข้อคิดในเรื่อง ความรักของคนสองคนที่ไม่มีความแน่นอนจึงอย่าไปยึดติดกับสิ่งนั้น
อ้างอิง= =ชื่อหนังสือ ความรักเท่าที่รู้ นิ้วกลม

9.             ปฏิบัติต่อคนอื่น เหมือนที่อยากให้คนอื่นปฏิบัติต่อเรา
= คมความคิดนี้ได้ให้ข้อคิดในเรื่อง เราทำกับคนอื่นแบบใหนก็จะได้แบบนั้นกลับคืนมาถ้าอยากให้เขาดีด้วยก็ต้องดีกับเขาก่อน
อ้างอิง= ชื่อหนังสือ ข้อคิดก่อนเริ่มกิจการ โดย สุณิสา พัฒนถาบุตร

10.   อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน
=  คมความคิดนี้ได้ให้ข้อคิดในเรื่อง อย่าเชื่อใจและไว้ใจใครง่ายๆ




ความรู้เกี่ยวกับอาเซียน

 
เหลือเวลาอีก 815 วัน, 23 ชั่วโมง, 58 นาที, 45 วินาที  จะถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 : วันเป้าหมายประชาคมอาเซียน


อาเซียน (ASEAN) เป็นการรวมตัวกันของ 10 ประเทศ ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้นำอาเซียนได้ร่วมลงนามในปฎิญญาว่าด้วยความร่วมมืออาเซียน เห็นชอบให้จัดตั้ง ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) คือการให้อาเซียนรวมตัวเป็นชุมชนหรือประชาคมเดียวกันให้สำเร็จภายในปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) แต่ต่อมาได้ตกลงร่นระยะเวลาจัดตั้งให้เสร็จในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015)
ในปีนั้นเองจะมีการเปิดกว้างให้ประชาชนในแต่ละประเทศสามารถเข้าไปทำงานในประเทศอื่น ๆ ในประชาคมอาเซียนได้อย่างเสรี เสมือนดังเป็นประเทศเดียวกัน ซึ่งจะมีผลกระทบกับการประกอบอาชีพและการมีงานทำของคนไทยเป็นอย่างมาก การทำความเข้าใจในเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน ฝ่ายวิเทศสัมพันธ์วิทยาลัยเชียงราย จึงได้จัดทำเว็บไซต์นี้ขึ้น เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจ กับบุคลากรของวิทยาลัย ในการเตรียมตัว ให้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้.







วิทยาลัยเชียงราย : เลขที่ 199 ม. 6 ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมือง จ.เชียงราย 57000 โทรศัพท์ 053-170331 โทรสาร 053-170335